* ~ *…Maldives is Calling @ Anantara Dihgu Maldives เชื่อแล้วว่าชีวิตนี้ต้องไป Maldivesซักครั้ง …* ~ *
Maldives เป็นจุดหมายในฝันของใครหลายๆคน แต่สำหรับเราช่วงเวลาที่ผ่านมากลับเฉยๆกับที่นี่ ไม่ได้กระตือรือร้นที่อยากไป แม้ว่าคนข้างๆจะพร่ำบอกอยู่บ่อยๆว่า Maldives สวยมากนะ ชีวิตนี้ควรมาให้เห็นด้วยตาตัวเองซักครั้ง มันไม่เหมือนที่ใดในโลกจริงๆ เราก็ยังเฉยๆ… อาจจะเพราะค่าตั๋วไป Maldives สมัยก่อนแพงมากในความรู้สึก แถมที่พักดีดีก็แพงอีก เลยถือว่าตัดใจกันไป
จนวันนึงคงถึงเวลาที่เราจะได้ไปที่นี่ซักที อยู่ๆสายการบิน AirAsia เปิดเที่ยวบินตรงไปลง Male เมืองหลวงของ Maldives ในราคาที่สัมผัสได้ง่ายขึ้น Maldives กับเราเลยเริ่มดูว่าจะเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ทริปนี้เลยเกิดขึ้นค่ะ
หลังจากมีตั๋วเครื่องบินแล้วถึงเวลาที่ต้องมานั่งศึกษาหาที่พักที่เหมาะกับเราที่สุด ตอบโจทย์ Life Style เราได้มากที่สุด เพราะทริปนี้ถือว่าเป็นทริปพิเศษมากๆของปีนี้ทีเดียวเชียวค่ะ จากคนที่ไม่เคยรู้จักอะไรที่ Maldives เลย เข้าไปหาข้อมูลต่างๆมากมาย จนเริ่มเข้าใจประเทศนี้มากขึ้น เริ่มรู้จักโรงแรม รีสอร์ตต่างๆที่ Maldives ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่โรงแรม รีสอร์ตจะเยอะมากมายขนาดนี้ และในที่สุดเราก็มาสรุปจบกันที่ Anantara Dhigu Maldives ด้วยเหตุผลอะไรค่อยๆตามไปดูในรีวิวกันค่ะ
เริ่มต้นจากการจองตั๋วกันก่อนนะคะ ราคาตั๋ว AirAsia ตอนเปิดตัวแรกๆมีราคา 1,990 บาทต่อเที่ยว ซึ่งมีคนจองได้จริงๆด้วยค่ะ เป็นผลทำให้เที่ยวบินไป Maldives ของ AirAsia ทั้งไปและกลับ ค่อนข้างเต็มทีเดียว และทำให้เรารู้ว่าเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ก็เริ่มเที่ยว Maldives กันแล้ว ไม่ต้องรอเก็บเป็นทริปฮันนีมูนแบบแต่ก่อนอีกต่อไป มีทั้งไปเป็นคู่ หรือไปเป็นกลุ่มกับเพื่อน รูปแบบการเที่ยว Maldives เปลี่ยนไปแล้วนะคะ แต่ขอบอกว่าทุกคนพร๊อบแน่นมาก….
AirAsia มีเที่ยวบินทกวัน เลือกวันตามที่เราสะดวกเลยค่ะ ออกจากกรุงเทพ 9.30 ถึงMale 11.40 (เวลาเร็วกว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมงค่ะ) นั่งเครื่องกันมาเพลินๆ 4 ชั่วโมงนิดๆก็ถึงแล้ว แนะนำว่า ขามาขอให้เลือกนั่งฝั่งซ้ายค่ะ จะได้เห็น Atoll สวยๆ ส่วนขากลับออกจาก Male 12.30 ถึงกรุงเทพ 19.00 นะคะ
แล้ว Atoll คืออะไร ประเทศ มัลดีฟส์เป็นประเทศที่เกิดจากภูเขาไฟค่ะ และเมื่อภูเขาไฟยุบตัวลง เวลาผ่านเรื่อยๆไปยอดของภูเขาไฟก็กลายเป็นพื้นทราย ชายหาด หรือลากูน โดยรอบๆลากูนพวกนี้ ก็จะเป็นแนวปะการัง ที่เรารู้จักกัน เรียกเกาะปะการังที่เกิดจากภูเขาไฟว่า Atoll ค่ะ
Maldives มี Atoll อยู่ประมาณ 1,190 เกาะ โดยแบ่งเป็น 26 กลุ่ม แต่มีอยู่เพียง 200 เกาะเท่านั้นที่อยู่อาศัยได้ โดยพื้นที่ที่อาศัยมีเพียง 300 ตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่าเกาะสมุยของเราไม่มากนะคะ
ข้างล่างที่เห็นคือสนามบินเมือง Male เมืองหลวงของ Maldives นะคะ AirAsia พาเรามาถึงดินแดนในฝันแล้ว
สนามบินที่นี่เล็กๆน่ารัก ออกจากตม.มาแนะนำให้พุ่งตรงหาป้ายชือรีสอร์ตที่จองมาเลยค่ะ บางที่ก็ตั้งโต๊ะ บางที่ก็มีออฟฟิศให้มานั่งรอ ของเรามาในเครือ Anantara ค่อนข้างอุ่นใจเพราะคนไทยน่าจะคุ้นเคยกับชื่อนี้กันดี เดินเข้ามารายงานตัวในออฟฟิศได้เลยค่ะ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะบอกเมื่อถึงเวลาไปลงเรือ หรือไปขึ้น SeaPlane ตามระยะทางใกล้ไกลของรีสอร์ต ของ Anantara มี Kihavah ที่เดียวที่ต้องไป SeaPlane นะคะ นอกนั้นนั่ง Speedboat ไปประมาณ 25 นาทีเท่านั้นค่ะอยู่ใกล้ๆกันทั้งหมด.. ถ้าหากจะซื้อซิมโทรศัพท์ให้หาซื้อบริเวณนี้เลยค่ะ แต่เราไม่ได้ซื้อเพราะได้ข่าวว่าที่ Anantara Dhigu มี Wi-Fi ฟรี เริ่มใช้ฟรีตั้งแต่ในเลาจ์ที่นั่งรอนี่ได้เลยค่ะ…
ระหว่างคอยเวลาเดินรอบๆแป๊ปเจอร้านที่คุ้นเคย รู้สึกอุ่นใจค่ะ เล็งไว้ว่าขากลับเราเจอกันแน่นอน
การเดินทางไปยัง Atoll ต่างๆ มีหลายวิธีด้วยกัน เช่น Seaplane, Domestic plane, Speedboat, Public boat ขึ้นกับระยะทางของรีสอร์ตต่างๆนะคะ ยิ่งไกลเค้าว่ายิ่งสวยแต่ก็จะยิ่งแพงค่ะ ควรจัดไว้เป็น 1 ในข้อควรพิจารณาเวลาเลือกโรงแรม เพราะงบจะได้ไม่บานปลายนะคะ Seaplane แพงมากกกกกกก
ส่วน Speedboat ลำนี้จะนำเราไปสู่ Anantara Dhigu Maldives ค่ะ บนเรือจะมีบริการน้ำดื่มและผ้าเย็น นั่งไปเพลินๆก็ 25 นาทีก็ถึงจุดหมายแล้ว เราเองตะลึงกับสีของน้ำทะเลตั้งแต่ไปถึงแล้วว่ามันจะสวยขนาดนี้เลยเหรอ ทั้งๆที่เราถือว่าอยู่ในเมืองมากๆ
แผนที่อาณาจักรของ Anantara มีกัน 3 แห่งตรงนี้ Anantara Dhigu / Anantara Veli และ Naladhu
แผนที่ของ Anantara Dhigu Maldives
เมื่อมาถึง Anantara Dhigu Maldives ที่พักของเราในทริปนี้ เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากบรรดาสตาฟ์ และผู้บริหารของที่นี่
Welcome Drink น่ารักมาก
Buggy จะเป็นผู้พามาส่งที่ห้องพักของเราค่ะ ก่อนมาถึงห้องพัก Buggy ได้พาเลี้ยวเลาะให้ดูส่วนต่างๆของที่นี่นิดหน่อยว่าร้านอาหารอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เพราะมาถึงที่นี่ก็เลยเวลาอาหารกลางวันปกติแล้ว เราน่าจะหิวกัน อาหารที่ทานมาบนเครื่องย่อยหมดแล้วค่ะ
การจองมาที่นี่ก่อนมาก็ต้องดูตามงบว่าที่มีห้องแบบไหนบ้าง ที่นี่มี Beach Villas กับ Over Water Suites จะฝั่ง Sunrise หรือ Sunset ก็ว่ากันไปตามงบที่มี แต่การมา Maldives ครั้งแรกของเราก็ต้องของนอนแบบ Over Water Suites ดูซักทีเนอะ และถ้ามีวาสนาได้มาอีก Beach Villas ก็ได้แล้วค่ะ…
ปล. อยากจะบอกว่า กรี้ดดดด..มากเมื่อ Buggy พามาส่งที่ Over Water Suites …
ห้อง 104 ของเราอยู่ฝั่ง Sunset เค้าบอกว่าวิวสวยกว่าฝั่ง Sunrise เพราะจะเป็นวิวโล่งๆ ไม่เห็นเกาะอื่นหรือหาดทรายค่ะและก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าห้องนี้ดีที่สุดป่าว แอบคิดเอาเองว่าน่าจะเหมือนๆกันในแง่ของวิวที่เห็นนะคะ แต่ในแง่ของระยะทางการเดินตรงนี้น่าจะกำลังดีแล้วไม่ไกลเกินไปนะคะ ตอนแรกกลัวว่าอยู่ตรง Over Water Suites นี้จะเดินไปไหนคงไกล จะเดินไหวไม๊ แต่ปรากฎว่าสบายมากค่ะ เดินจนชินสบายๆ เพราะบรรยากาศรอบตัวสวยงามทุกวัน
การจองที่พักมาที่ Maldives จะมีข้อตกลงเหมือนๆกันทุกแห่งเวลาจองห้องพักคือ
Bed&Breakfast – รวมอาหารเช้า
Half board – รวมอาหารเช้า+เย็น
Full board – รวมอาหารเช้า+กลางวัน+เย็น
All inclusive – รวมอาหารเช้า+กลางวัน+เย็น+เครื่องดื่ม ทั้งแอลกอฮอลล์และไม่ใช่แอลกอฮอลล์ค่ะ คุ้มมากสำหรับคนที่ดื่มแอลกอฮอลล์นะคะ เพราะบนเกาะแพงมากจริงๆ ไม่แน่ใจนะคะว่าที่ Anantara Dhigu มีแบบ All inclusive ไม๊ เพราะเห็นในเวปจองห้องพักมีแต่ Half board กับ Full board ค่ะ
และช่วงที่เราไปถ้าจองที่พักผ่าน https://dhigu-maldives.anantara.com/ จะได้รับอาหารเย็นฟรี กลายเป็น Half board ไปเลย และถ้าจอง Over Water Suites หรือวิลล่าแบบ 2 ห้องนอนจะได้รับสปาฟรีคนละ 60นาทีด้วยค่ะ
ไปชมห้องพักเรากันค่ะ จริงๆตอนที่เราไปก็ยังไม่ใช่ช่วง High Season นะคะ แต่โชคมีมากที่เจอฟ้าใสๆแบบนี้ทุกวัน เจอฝนบ้างนิดหน่อยนะคะถือว่าไม่มาก …..เราเปิดห้องเข้ามาจะเจอวิวนี้เลย สวยแค่ไหนดูจากรูปเอาเลยค่ะ ถ้ามีวิวแบบนี้ให้ดูทุกวันคงดีไม่น้อย…ฝันๆ
มองกลับไปทางประตูที่เข้ามา จะมีพวกมินิบาร์ ชา-กาแฟ ขนมขบเคี้ยวค่ะ ที่ทานได้แบบไม่เสียเงินเพิ่มคือชา-กาแฟ และน้ำดื่มซึ่งมี Complementary ให้ประมาณ 4 ขวดต่อวัน และก็มีแชมเปญให้ 1 ขวดด้วยนะคะ ถ้าถามว่าน้ำดื่มสำหรับเราพอไม๊แค่นี้ก็พอดีๆนะคะ .. น้ำที่นี่แพงค่ะ
ระเบียงหน้าห้องมีทางเดินลงน้ำ เคยอ่านรีวิวบางคนบอกว่าที่นี่บ้านแต่ละหลังค่อนข้างติดกันดูไม่เป็นส่วนตัว แต่จะบอกว่าจากการที่ไปอยู่มาไม่เคยรู้สึกว่าไม่ส่วนตัวเลยค่ะ.. ไม่เคยเจอข้างบ้าน .. ไม่เคยได้ยินเสียงใดๆเลยทั้งๆที่ใกล้กัน และมีแขกอยู่ทั้ง 2 ข้างด้วยนะคะ
น้ำทะเลหน้าบ้านไม่ลึกแต่คลื่นแรงอยู่เหมือนกันค่ะ มีปลาตัวเล็กๆแถวๆนี้ แต่ถ้าอยากดูเยอะๆแนะนำแถวสปานะคะ ส่วนบันไดนี้เราวิ่งขึ้นวิ่งลงหลายรอบ น้ำทะเลสวยใสจริงๆค่ะ
นั่งดูวิวตรงนี้ทั้งวันไม่มีเบื่อ เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องมา Maldives ซักครั้งอย่างน้อย..
ไฮไลท์ของห้องนี้อีกอย่างนึงก็คือการนอนแช่น้ำกับวิวนี้ตรงหน้านะคะ…ที่สุดจริงๆ
ถ้าบรรยากาศกลางคืนล่ะ
สวยงามคนละแบบกับกลางวันทะเลจะมืดๆนิดนึง
แต่ทะเลยังคงเล่นเฉดสี
หรือจะนอนดูดาวพราวฟ้าก็ยังได้นะคะ หลับฝันดีแน่นอนค่ะที่นี่
ร้านอาหารที่นี่มีให้เลือกเกือบ 10 ร้าน รวม 2 รีสอร์ตคือ AnantaraDhigu กับ Anantara Veli แขกสามารถเลือกทานอาหารได้ทั้ง 2 รีสอร์ตค่ะ ข้ามไปข้ามมาด้วยเรือข้ามฟากค่ะ ลองไปดูร้านที่เราไปใช้บริการมานะคะ
Fushi Café เป็นร้านที่เราทานอาหารเช้ากันทุกเช้า อยู่ใกล้ๆกับ Lobby ส่วนตอนเย็นก็จะมีเป็น Dinner Buffet โดยมีการเปลี่ยน Theme ไปในแต่ละวันนะคะ
อาหารเช้าที่นี่ Line ไม่ได้เยอะมาก .. แต่ Quality อาหารถือว่าดีเลยค่ะ ทุกอย่างถูกเลือกสรร.. 🙂
เอาจริงๆนะคะบางคนทานอาหารเช้าสายนิดนึง ทานอิ่มไปเลย ไม่ทานกลางวันแล้วหิวอีกทีก็มื้อเย็นได้พอดี คุ้มค่า Half Board
AQUA Bar อยู่ข้างๆสระน้ำ ที่นี่ขายอาหารง่ายๆ มีเครื่องดื่ม ออกแนวบาร์ชิลล์ๆค่ะ เปิดช่วงสายๆถึงเที่ยงคืน ตอนที่ไปมีโปรโมชั่นเบียร์ ซื้อ 2 แถม 1
สระว่ายน้ำเป็น infinity pool ผู้คนคึกคักตลอดเวลาแทบไม่สามารถถ่ายรูปแบบไม่ติดแขกอื่นได้เลยค่ะ อาศัยจังหวะมากๆ
นกมากินน้ำที่สระพอดีเลยนะคะ
ทะเลสีไล่เฉดกันดีจริงๆ นี่สิเรียกว่า..ความสุข
ราคาอาหารที่ Aqua Bar อยู่ที่ประมาณ USD 30 ต่อจานแต่ปริมาณใหญ่มากขนาดแบ่งทาน 2 คนได้ค่ะ ส่วนน้ำดื่มเสริฟ์เป็นน้ำแร่ Evian นะคะ ขวดละ USD 10 ค่ะ สวยๆสุขภาพดีกันไป
ตัวอย่างหน้าตาอาหารที่ Aqua Bar จานนี้เป็น Fish & Chips อร่อยเลยแหละค่ะ ส่วนจานอื่นๆจะเป็นพวกพิซซ่า แซนวิช ทานกันเร็วๆง่ายๆนะคะ
Sea Fire Salt ร้านอาหารที่เน้นการปิ้งย่างไม่ว่าจะเป็นเนื้อดีดี หรือซีฟู้ดสดๆจากมหาสมุทร เปิดบริการ 12.30- 14.30 แล้วเปิดอีกที 18.30-22.30 ค่ะ
ร้าน Sea Fire Salt อยู่ชั้นล่างของอาคารหลังนี้นะคะ ด้านบนจะเป็นห้องอาหาร Italian ชื่อ Terrazzo ซึ่งเราไม่ได้ไปลองชิมค่ะ
ตรงนี้ก็อยู่ใกล้ๆ Aqua Bar และสระว่ายน้ำแหละค่ะ
มองจากตรงนี้จะเห็นเก้าอี้ทางขวาที่เป็นบรรดาห้องแบบ Beach Villas นะคะ ทุกห้องมีความเป็นส่วนตัว มีหาดทรายขาวๆหน้าห้องค่ะ ก็สวยงามและดีไปคนละแบบกับ Over Water Suites
โต๊ะที่เราจองจะเป็นระเบียงแบบนี้ แต่เราไปทานตอน Dinner นะคะ
ห้องอาหารนี้เน้นการ Grilled เดี๋ยวเรามาชิมกันค่ะ ในช้อนนี้เป็น Complementary จาก Chef ค่ะ
ขนมปังมากก่อน อร่อยด้วย ทุกอย่างขอให้โรยเกลือที่เสริฟ์มา จะดีเลย
มาเริ่มกันที่ Lobster salad
ตามด้วยซุป บอกเลยว่า อร่อยมากกกก
จานหลักจริงๆทาน 2 คนกำลังดีนะคะ แต่เนื่องจากไม่รู้ว่ามันใหญ่เลยสั่งมาคนละชุดค่ะ ชุดแรกเป็นซีฟู้ด จะยกทะเลมาเลย มีกุ้งลายเสือ Scallop ปลา แถมมีสลัด มากับ Baked Potato อีก
ส่วนจานนี้ Lobster เน้นๆ ตัวใหญ่มากนะคะ
แถมด้วยซีซ่าร์สลัดอีก 1 จาน ….. จงอย่าสั่งอาหารตอนหิว
Origami ร้านอาหารญี่ปุ่น แต่อยู่ฝั่ง Anantara Veli เป็นร้าน Teppanyaki และมี A La Carte เปิดเฉพาะมื้อค่ำ และควรจองก่อนค่ะ ก่อนไปเราสอบถามก่อนว่าแพคเกจของเราทานอะไรได้บ้าง เค้าบอกให้สั่งเป็น A La Carte ค่ะ
เราไปขึ้นเรือกันตรงสปาเพื่อข้ามไป Anantara Veli เรือมีบริการตลอดนะคะ ไปๆกลับๆได้ค่ะ
มองไปจะเห็นร้านอาหารไทยชื่อ Baan Huraa ฝรั่งที่ลงเรือไปพร้อมกันและกลับพร้อมกันบอกว่าอร่อยมากและอิ่มมากค่ะ
Anantara Veli รู้สึกว่าที่นี่จะเน้นคู่รักนะคะ ไม่มีแขกเด็กๆค่ะ แต่ที่ Anantara Dhigu มีพ่อ แม่ ลูก หลายครอบครัวเลย
ฝรั่งชอบนั่งกัน Outdoor กัน แต่เราขอด้านใน เพราะฝนน่าจะตกในไม่ช้า
มุม Teppanyaki นึกถึง Benihana เลย สาเกพร้อมเสริฟ์ อิอิ 😀
จานแรกมา เป็น Complementary จาก Chef ค่ะ
อย่างที่บอกว่าให้สั่งเป็น A La Carte เลยมากันเป็นแนวของกินเล่นซะเลย
จานแรกเป็น Maguro tataki จานที่ 2 เป็น New Style Salmon Sashimi จาน 3 เป็น Pinkara Hamachi maki จะบอกว่า ปลาที่นี่สดมากกกก ดีงาม… 😀
ส่วน main สั่งคนละจานแบบงงๆ จานนึงเป็น Hotate เสิรฟ์พร้อมข้าวผัดกระเทียม
อีกจานเป็นกุ้งลายเสือ เสริฟ์พร้อมข้าวผัดกระเทียมเช่นกัน อิ่มมากเลย คือเค้าเอาเนื้อสัตว์ไปย่างมาให้แหละค่ะ อิ่มแบบไม่สนของหวานแล้วแม้ว่าจะอยู่ใน Half Board ของเรา
สรุปในส่วนของอาหาร Anantara Dhigu ถูกปากคนไทยแน่นอนค่ะ เป็นรสชาติที่เราคุ้นเคย คนที่ทานยากน่าจะรอดค่ะ
เรามาดูบรรยากาศ Anantara Veli ยามเย็น
การจะข้ามไป Anantara Veli เราต้องมาลงเรือที่หน้าสปาค่ะ เราไปดูสปากันต่อเลยเนอะ
Anantara Spas ที่นี่เป็นสปาที่เป็น Over water Spa สวยมากๆเลยค่ะ แต่ละห้อง Private สุดๆ
ศาลาไทย ไว้ใช้นวดไทยนะคะ ที่นี่มี Therapist เป็นคนไทยด้วยค่ะ
ที่ไปใช้บริการเป็น Anantara Signature Spa นวดผ่อนคลาย 45 นาที ตอนนอนก้มหน้า ปกติจะเป็นอ่างดอกไม้ให้นอนมอง แต่ที่นี่เจาะช่องให้ดูปลาค่ะ ปลาตรงนี้จะเยอะว่าแถวที่ห้องพักหน่อยๆ ดูกันเพลินเลย
นวดเสร็จแล้วสามารถใช้บริกาห้อง Stream แช่ จากุซซี่ที่ในสปาต่อได้นะคะ
วิวแบบนี้ชิลล์กันต่อไป ถ้าไม่รีบไปไหนก็นอนกลิ้งๆกันแถวนี้แหละค่ะ
บรรยากาศดีถึงขีดสุด แต่เนื่องจากที่ห้องพักเราก็สวยแบบนี้ กลับไปกลิ้งต่อที่ห้องกันเถอะนะคะ
เป็น 1 ชั่วโมงที่คุ้มค่าจริงๆนะคะกับการผ่อนคลาย
แวะมา Aquafanatics กันหน่อย เรามีนัดไปดูปลาโลมากันตอนบ่าย 3.45 คอนเฟิร์มเวลากันก่อน ที่นี่เป็นศูนย์รวมกีฬาทางน้ำค่ะ มีอะไรแวะไปปรึกษาได้
เมื่อถึงเวลานัดเราไปลงเรือกันที่ท่าเรือตรง Lobby ค่ะ เราจะออกทะเลกัน ค่าทริปคนละ USD 70 ++ เที่ยวนี้มีแขก 6 คนรวมเราค่ะ Private สุดๆ
ไม่น่าเชื่อว่าออกไปแป๊ปเดียวไม่ถึง1 นาทีเราเจอปลาโลมาแล้วค่ะ โชคดีมากๆ กัปตันบอกว่าบางวันออกมาก็ไม่เจอนะ
นี่ยังไม่ออกไปไหนไกลเลย ดีเหมือนกันค่ะเป็นคนขี้เมาเรือด้วย นี่อยู่กลางมหาสมุทรอินเดียเชียวนา ทะเลลึกมากๆ
ไม่เคยเจอโลมาฝูงใหญ่ๆแบบนี้เลยค่ะ เยอะมากๆ และใกล้เรือมากๆด้วยค่ะ เดาว่าเห็นหลายร้อยตัวมาก ..นับไม่ไหวค่ะ
พวกเด็กๆชอบโชว์ลีลา ใกล้ฝั่งมากจริงๆ
บนเรือมีแต่เสียงร้องว้าวตลอดเวลา ทุกคนมีความสุขค่ะ ดูน้องโลามาสิ ร่าเริงกันจริงๆ น่ารักมาก 🙂
จากปลายสุดทางเดินของ Over Water Suites เราจะมองเห็นเกาะเล็กๆแห่งนึง
ตรงนั้นเป็น Picnic Island ชื่อ Gulhifushi
วิธีการเดินทางคือลงเรือจากท่าเรือแถว Lobby ที่เดิมแหละค่ะ แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าจะไป Picnic Island นะคะ ไปได้ตลอดค่ะ ตอนจะกลับก็แจ้งพนักงานทางโน้น เรือก็จะมารับเรากลับ
มองเห็น Over Water Suites ฝั่ง Sunrise (เราพักฝั่ง Sunset )จะเห็นระดับความลึกของน้ำ ดูจากความเข้มของสีน้ำค่ะ จริงๆเดินไปเกาะก็อาจถึงแต่มีช่วงน้ำลึกด้วย นั่งเรือไปกันดีกว่าค่ะ
มีชิงช้าตรงนั้นด้วย เป็นมุมไฮไลท์อีก 1 มุมค่ะ
มีมุมกุ๊กกิ๊กๆ ถ่ายรูปสวยเยอะเลยค่ะ
บ้านนี้น่าจะเดินข้ามมาจากฝั่งโน้นค่ะ มีความชิลล์สุดๆ
ตอนเย็นที่นี่สวยทุกวัน ที่เห็นลิบๆนั่นเป็นชิงช้า Signature ของที่นี่ค่ะ เป็นมุมที่คิดมาจากบ้านเลยว่าอยากไปนอนชิลล์บนนั้น
ใครๆก็ไปถ่ายรูปกัน … แต่ต้องคอยดูช่วงเวลาน้ำลงต่ำสุดค่ะ ซึ่งเราไม่เป๊ะซักที..อด
พนักงานที่นี่น่ารักนะคะ ช่วยเหลือดีมาก คอยถามไถ่กันตลอด
ถ้าหากไม่อยากเดินแบบเราก็ใช้บริการจักรยานได้ค่ะ จะมีจอดอยู่เป็นจุดๆ
ที่นี่เค้ามีสวนผักของ Chef ด้วยนะคะ เป็นแบบ organic ด้วยค่ะ
ต้นไม้ร่มรื่นตลอดทางเดิน เราเดินไม่เหนื่อยเลยเพลินมากๆ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เดินเพลินเลยค่ะ
แป๊ปๆก็ถึงเวลากลับแล้วค่ะ ส่วนมากเวลาแห่งความสุขมักไปเร็วเสมอ…จริงๆค่ะ
ถ้าใครอยากจัด Private Dinner ก็จัดได้นะคะ เห็นมีไปจัดที่ Picnic Island ด้วย แต่จะไม่รวมในแพคเกจปกติค่ะ
ฝั่งขวาของ Lobby นี้เป็น Beach Villa เช่นกัน เราไม่ได้เดินไปสำรวจฝั่งนี้เลย แค่สีทรายกับสีน้ำทะเลก็สวยขาดใจ….. แล้วที่ เห็นลิบๆนั่นคือ Anantara Veli นะคะ
จากเราคนที่ไม่เคยมี Maldives อยู่ใน wish lists ที่อยากจะไป กลายเป็นว่าเป็นที่ที่ถ้ามีโอกาสจะต้องกลับมาซ้ำอีกให้ได้ค่ะ Maldives ก็คือ Maldives เป็นที่ที่สวยแตกต่างไม่เหมือนที่ไหน
ท้ายสุดต้องขอขอบคุณ AirAsia และ Anantara Dhigu Maldives มากๆที่ทำให้เรามีช่วงเวลาที่ดีที่นี่นะคะ ถ้ามีโอกาสคงจะได้กลับไปอีกค่ะสัญญา…